Princess Crown
การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
welcome to blogger praweena :)

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 3 วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 3วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560



เนื้อหาที่ได้เรียน ความรู้ที่ได้รับ
  • เรียนต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เรื่อง "ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"

4. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders) 

  • เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
  • ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
  • เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
  • เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"
2. ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)
  • พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
  • การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
  • อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
  • จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
  • เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
3. ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders) 
  • ความบกพร่องของระดับเสียง
  • เสียงดังหรือค่อยเกินไป
  • คุณภาพของเสียงไม่ดี

ความบกพร่องทางภาษา หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมาย ของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้

1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)  
  1. มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
  2. มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
  3. ไม่สามารถสร้างประโยคได้
  4. มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
  5. ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ


2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia 
  1. อ่านไม่ออก (alexia) 
  2. เขียนไม่ได้ (agraphia ) 
  3. สะกดคำไม่ได้
  4. ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
  5. จำคำหรือประโยคไม่ได้
  6. ไม่เข้าใจคำสั่ง
  7. พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา 
  1. ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง 
  2. ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน 
  3. ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ 
  4. หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก 
  5. ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้ 
  6. หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา 
  7. มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก 
  8. ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย 

5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments) 

  1. เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน 
  2. อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป 
  3. เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
  4. มีปัญหาทางระบบประสาท
  5. มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
  • โรคลมชัก (Epilepsy)
เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน
1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
  1. อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
  2. มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
  3. เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก 
  4. เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
  1. เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู่
3.อาการชักแบบ Partial Complex
  1. มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
  2. เหม่อนิ่ง 
  3. เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองต่อคำพูด
  4. หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก
4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
  1. เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)
  1. เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น 
การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในกรณีเด็กมีอาการชัก
  1. จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
  2. ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
  3. หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
  4. ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
  5. จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
  6. ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
  7. ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ


ซี.พี. (Cerebral Palsy) 
  1. การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด 
  2. การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน 


2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง (athetoid , ataxia)


  1. athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
  2. ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน

3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed)
กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy) 
  1. เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว 
  2. เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่ 
  3. จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม 

โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic)  ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida) ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ





โปลิโอ (Poliomyelitis) 



  1. มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
  2. ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
วิธีรักษาเบื้องต้น
โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis Imperfeta)


โรคศีรษะโต (Hydrocephalus)


โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) 
โรคระบบทางเดินหายใจ โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)  
โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)  
โรคมะเร็ง (Cancer)  
เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)

แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency) 


ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
  1. มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว 
  2. ท่าเดินคล้ายกรรไกร
  3. เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
  4. ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ 
  5. มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง 
  6. หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว 
  7. หกล้มบ่อย ๆ
  8. หิวและกระหายน้าอย่างเกินกว่าเหตุ

แรงบันดาลใจจากผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้
1. Lena Maria

เลน่า มาเรีย  เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงของ สวีเดน  
เกิดเมื่อวันที่  28  กันยายน ค.ศ.1968  เธอไม่มีแขนทั้งสองข้าง และมีขาข้างซ้ายยาวเพียงครึ่งเดียวของขาข้างขวามาตั้งแต่เกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ เลน่าเรียนว่ายน้ำตั้งแต่อายุ  3  ขวบ  จนได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติสวีเดน  ได้รับเหรียญรางวัลมากมาย เลน่าชอบร้องเพลงมาก หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยดนตรี ในกรุงสตอก-โฮล์ม  เมื่อปี ค.ศ.1991 แล้วเธอยึดการร้องเพลงเป็นอาชีพ มีผลงานมาแล้วหลายอัลบั้ม อาทิ  My life  ,  Best friend, และ  Amazing Grace


2. Nick Vujicic

 
นิค วูจิซิค Nick Vujicic แทนที่จะมัวหมกมุ่นสงสารตัวเอง หรือโกรธเกรี้ยวผู้คนรอบข้างด้วยเหตุผลต่างๆ นานาของ “ความไม่ยุติธรรม” (Why me?) เขากลับบอกพ่อแม่ว่าเขาอยากใช้ชีวิตปกติ ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างพิเศษ แล้วเขาก็ใช้ชีวิตปกติ ไปโรงเรียนสามัญเรียนร่วมกับเพื่อนที่มีร่างกายสมบูรณ์ ผู้คนต่างมองเขาอย่างประหลาดใจ โดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าสิ่งที่พวกเขาคิดกับความเป็นจริงนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เขาเรียนจบทางบัญชี และปัจจุบันเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจที่เดินรอบโลก เพื่อพูดกับเด็ก-วัยรุ่นที่มีความคับข้องใจ ไม่พอใจ เป็นตัวอย่างที่มีชีวิต แสดงให้เห็นว่าที่แต่ละคนมีนั้น ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จะทุกข์ร้อนอะไรนักหนา




ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนและตั้งใจฟังเนื้อหาทฤษฎี เรื่อง เด็กที่มีความต้องการพิเศษ 

ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆตั้งใจเรียน และตั้งใจฟังเนื้อหาทฤษฎี เรื่อง เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เตรียมการเรียนการสอนของ"ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"มาอย่างดีพูดเข้าใจง่ายและยกตัวอย่างพร้อมทั้งมีคลิปมาให้ดูอย่างเข้าใจ




วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 2 วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 2วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560



เนื้อหาที่ได้เรียน ความรู้ที่ได้รับ

เข้าสู่เนื้อหา  "ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1.) กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)"


  • ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ 
  1. มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
  2. มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
  3. เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต 
  4. มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน 
  5. ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน


2.)  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
ประกอบด้วย 
  1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา 
  2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน 
  3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น 
  4. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
  5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา 
  6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
  7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ 
  8. เด็กออทิสติก 
  9. เด็กพิการซ้อน 
1. เด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
1.1 เด็กเรียนช้า 
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้ 
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้ 
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย 
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 

สาเหตุของการเรียนช้า
1. ภายนอก
  • เศรษฐกิจของครอบครัว
  • การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
  • สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
  • การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
  • วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
  • พัฒนาการช้า
  • การเจ็บป่วย

  • เด็กปัญญาอ่อน แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้ ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น

2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 
ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)

3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35
พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่ายสามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded) 

4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 
เรียนในระดับประถมศึกษาได้ สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้ เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)



ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome




สาเหตุ
  • ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
  • ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
  1. ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น 
  2. หน้าแบน ดั้งจมูกแบน 
  3. ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก 
  4. ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
  5. เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต 
  6. ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ 
  7. มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น 
  8. เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ 
  9. ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง 
  10. มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
  11. บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
  12. อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
  13. มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
  14. อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง


การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์

  • การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตรงครรภ์ 
  • อัลตราซาวด์  
  • การตัดชิ้นเนื้อรก
  • การเจาะน้ำคร่ำ  




2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) 
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก 
  • เด็กหูตึง
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
  1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB  เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล
  2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB   เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด  จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้  มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
  3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน  มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกันมีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
  4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB   เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต  การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง  เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง  เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก   
เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน  เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้ ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป



ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
  1. ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
  2. ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
  3. พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
  4. พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
  5. พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
  6. เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
  7. รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
  8. มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  1. มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  2. สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  3. มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา  จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท 
  • เด็กตาบอด
  1.  เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง   
  2. ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้   
  3. มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท   
  4. มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
  • เด็กตาบอดไม่สนิท 
  1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา 
  2. สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ 
  3. เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น 
  4. มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา 





ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
  1. เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
  2. มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
  3. มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
  4. ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
  5. เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
  6. ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
  7. มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต




ความรู้ที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้

สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการที่ได้เรียนทฤษฎีเนื้อหาของเด็กเรียนรวม และได้ทราบถึงประเภทต่างๆของเด็กพิเศษ ซึ่งสามารถที่จะนำไปปฏิบัติการเรียนการสอนกับเด็กปกติและเด็กพิเศษในอนาคต

การประเมินผล

ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียนและตั้งใจฟังเนื้อหาทฤษฎี เรื่อง เด็กที่มีความต้องการพิเศษ 
ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆตั้งใจเรียน และตั้งใจฟังเนื้อหาทฤษฎี เรื่อง เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เตรียมการเรียนการสอนของหลักการทฤษฎีเบื้องต้น ความหมายและประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ มาบรรยายให้ความรู้ในวันนี้ 

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

การบันทึกครั้งที่ 1 วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

ขาดเรียน

การบันทึกครั้งที่ 1
วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560





เนื้อหาที่เรียน ความรู้ที่ได้รับ


  • ถาม-ตอบ และพูดคุยในเรื่องของ การเรียนรวม ความหมายของเด็กพิเศษ ประเภทของเด็กพิเศษ
  • แจก Course Syllabus แนะแนวหลักการเรียนการสอนในรายวิชานี้
  • ข้อตกลงระหว่างเรียน การเข้าเรียนเวลาไม่เกินเวลา 15 นาที ต้องมีเวลาเรียนไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซนต์
  • แจกใบปั๊มการมาเรียน


 เข้าสู่เนื้อหา "เด็กที่มีความต้องการพิเศษ"   (Children with special needs )

  1. ความหมายทางการแพทย์   หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
  2. ความหมายทางการศึกษา   หมายถึง  เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะตัวเอง จำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนให้ต่างไปจากเด็กปกติเป็นบางส่วน 

พฤติกรรมและพัฒนาการ ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
  • การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล 
  • ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ 
  • เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน
  • พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้าน หรือทุกด้าน 
  • พัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าด้วยก็ได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
  1. พันธุกรรม  เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิด  มักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย 
  2. โรคของระบบประสาท  เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรืออาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วย  ที่พบบ่อยคืออาการชัก 
  3. การติดเชื้อ  การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ อาจมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระจก นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง
  4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม  โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
  5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด  การเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย และภาวะขาดออกซิเจน
  6. สารเคมี   ตะกั่วเป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็กและมีการศึกษามากที่สุดมีอากาศซึมเศร้า เคลื่อนไหวช้า ผิวดำหมองคล้ำเป็นจุดๆ ภาวะตับเป็นพิษระดับสติปัญญาต่ำ    
  7. แอลกอฮอล์  น้ำหนักแรกเกิดน้อย มีอัตราการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  8. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการขาดสารอาหาร  
  9. สาเหตุอื่นๆ  
อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
  1. มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
  2. ปฏิกิริยาสะท้อน (primitive reflex) ไม่หายไป แม้จะถึงช่วงอายุที่ควรจะหายไป 
แนวทางการวินิจฉัย เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
  •   การซักประวัติ โรคประจำตัว 
  1. โรคทางพันธุกรรม 
  2. การเจ็บป่วยในครอบครัว 
  3. ประวัติฝากครรภ์  
  4. ประวัติเกี่ยวกับการคลอด      
  5. พัฒนาการที่ผ่านมา     
  6. การเล่นตามวัย การช่วยเหลือตนเอง   
  7. ปัญหาพฤติกรรม    
  8. ประวัติอื่นๆ
  • การตรวจร่างกาย
  1. ตรวจร่างกายทั่วๆไปและการเจริญเติบโต
  2. ภาวะตับม้ามโต 
  3. ผิวหนัง
  4. ระบบประสาทและวัดรอบศีรษะด้วยเสมอ
  5. ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม (child abuse)
  6. ระบบการมองเห็นและการได้ยิน
  • การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
  1. แบบทดสอบ Denver II 
  2. Gesell Drawing Test 
  3. แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด - 5 ปี สถาบันราชานุกูล